การดนตรีและการฟ้อนรำ
เส้นเสียงและท่าทางแห่งมรดกพระร่วง
แม้จะไม่มีหลักฐานที่กล่าวถึงชนิดของวงดนตรี เพลง หรือรูปแบบการฟ้อนรำในสมัยสุโขทัย
ทว่าจากศิลาจารึกบางหลักก็พบข้อมูลที่ทำให้สามารถอนุมานรูปแบบของศิลปกรรมแขนงนี้คร่าวๆได้ อาทิ
"แต่นี้อำแดงหยาด สร้างไว้บูชาพระเป็นเจ้า ฆ้องดวงหนึ่ง ดำหน้าศอกหนึ่งค่าสองตำลึง กลองลูกหนึ่ง
ไม้สักตำลึงหนึ่ง กังสะดาลลูกหนึ่งหนักสองชั่ง ค่าหกสลึง"
(ศิลาจารึกวัดเขมา)"...เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน
มีบริพารกฐิน โอยท่านแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัติกฐินเถิงอรัญญิกพู้น
เมื่อจักเข้ามาเวียงเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท่าหัวลาน ดํบงคํกลอง ด้วยเสียงพาดเสียงพิน เสียงเลื้อน
เสียงขับ ใครจักมักเล่นเล่น ใครจักมักหัวหัว ใครจักมักเลื้อนเลื้อน..."
(ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช) "...พาทย์คู่หนึ่ง ให้ข้าสองเรือนตีบำเรอแก่พระเจ้า
ฆ้องสองอัน กลองสามอัน แตร... แต่งให้ไว้แก่พระเจ้า" (ศิลาจารึกวัดช้างล้อม)
ข้อความจากจารึกเหล่านี้ ช่วยให้นักวิชาการสันนิษฐานว่าดนตรีที่ใช้ในสมัยสุโขทัยนั้น
มีทั้งวงปี่พาทย์เครื่องห้า และวงประโคม

ระบำสุโขทัย 
ระบำสุโขทัย 
ระบำสุโขทัย 
ระบำสุโขทัย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้พบวงดนตรีพื้นถิ่นประเภทหนึ่ง นิยมบรรเลงกันในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง อาทิ
สุโขทัย พิษณุโลก กำแพงเพชร เป็นต้น เรียกกันว่า "มังคละ" ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีคือ
กลองมังคละ เป็นกลองหนังหน้าเดียวขนาดเล็ก ทำ หุ้มด้วยหนัง ปี่ กลองสองหน้า ๒ ขนาด ขนาดใหญ่ เรียกว่า
กลองยืน ขนาดเล็กเรียกว่า กลองหลอน ตีจังหวะ ขัดล้อกัน ฆ้องโหม่ง เครื่องประกอบจังหวะ ได้แก่ ฆ้อง ๒ ใบ แขวน
อยู่บนคานหาม ฉิ่ง และฉาบใหญ่ ๑ คู่
หลักฐานที่เก่าที่สุดเกี่ยวกับวงมังคละในพื้นที่นี้ ปรากฏในพระนิพนธ์ "จดหมายเหตุระยะทางไปพิษณุโลก"
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๔ ความว่า "...ลืมเล่าถึงมังคละไป...เครื่องมังคละนี้
เป็นเครื่องเบญจดุริยางค์แท้ มีกลองเล็กรูปเหมือนเถิดเทิงแต่สั้นขึงหนังหน้าเดียว มีไม้ตียาวๆ ตรงกับ
"อาตฺต" ใบหนึ่ง...เสียงเพลงนั้นเหมือนกลองมลายู"
เบญจดุริยางค์ที่ทรงกล่าวถึงคือชื่อวิธีการเล่นดนตรีแบบโบราณของคนแถบอินเดีย และศรีลังกา ซึ่งมีเครื่องดนตรี
และเสียงบรรเลงคล้ายกับวงมังคละ และคล้ายกับวงดนตรีที่กล่าวถึงศิลาจารึกวัดช้างล้อม
จึงน่าเชื่อว่ามังคละน่าจะมีรากเหง้ามาจากวงดนตรีสมัยสุโขทัยด้วยเช่นกัน