เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรกในสมัยสุโขทัย
เมื่อปีพุทธศักราช ๑๘๒๖ ดังปรากฏข้อความในศิลาจารึกของพระองค์ท่านว่า "เมื่อก่อนลายสือไทยนีบ่มี
๑๒๐๕ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทนี้ลายสือไทนี้
จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"
และปรากฏข้อความในหนังสือจินดามณีฉบับพระเจ้าบรมโกศ แบบเรียนอักขระวิธีเล่มแรกๆของไทยกล่าวว่า
"อนึ่งมีในจดหมายแต่ก่อนว่า ศักราช ๖๔๕มะแมศก พญาร่วงเจ้า ได้เมืองศรีสัชนาไลยได้แต่งหนังสือไทย"
แสดงให้เห็นว่าพระปรีชาญาณด้านการปรับปรุงตัวอักษรไทยนี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน
นักภาษาศาสตร์เชื่อว่า รูปอักษรที่เรียกว่า "ลายสือไท" นี้
คงเกิดขึ้นจากการดัดแปลงรูปแบบของตัวอักษรที่ใช้อยู่ในพื้นที่แถบนี้มาก่อน เช่น อักษรมอญ และเขมร
โดยปรับปรุง ให้ง่ายต่อการเขียน ตัดกลวิธีการประสมพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ที่ซับซ้อนออกไป เช่น
ตัดส่วนของตัวอักษรเขมรที่เรียกว่า "หนามเตย"ออก และปรับปรุงอักขระวิธีให้ง่าย
เพื่อความสะดวกในการเรียนรู้ และนำไปใช้ ตลอดระยะเวลายาวนานกว่า ๗๐๐ ปีนับจากที่ทรงคิดค้นครั้งนั้น
ลายสือไทก็ได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ จนกลายเป็น "อักษรไทย" ในปัจจุบัน
แม้ว่าจะมีลายสือไทใช้แล้ว แต่ผู้คนในแถบนี้ก็ยังใช้ตัวอักษรอื่นๆในการติดต่อสื่อสาร ในบริบทที่ต่างกัน
เช่นอักษรขอม และอักษรธรรม ที่นิยมใช้กันมาแต่เดิมเพื่อบันทึกเอกสารราชการ เช่น พระบรมราชโองการ ตราตั้ง
ไปจนถึงคาถาบทสวดในพิธีกรรมหรือศาสนา นับถือกันว่าเป็นตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ เราจึงพบศิลาจารึกสุโขทัย
ที่จารึกขึ้นจากตัวอักษรหลายชิด ทั้งลายสือไทย ขอม และอักษรธรรมล้านนา
ความเชื่อเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อมาจนกระทั่งช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนกลาง
ก่อนระบบการศึกษาตามาตรฐานสากลจะเริ่มแพร่หลายในประเทศไทย
และอักษรไทยกลายเป้ฯตัวอักษรหลักในการเรียนการสอนในโรงเรียน